สำหรับการทำวิจัยหรือวิทยานิพนธ์
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ
1.
บทนำบทความนี้มีจุดมุ่งหมายที่ต้องการแสดงให้เห็นว่า เทคนิคการเขียนคำถามของแบบสอบถามมี
ลักษณะอย่างไร มีโครงสร้างหรือองค์ประกอบอะไรบ้าง พร้อมทั้งแสดงให้เห็นด้วยว่า เทคนิคการเขียน
คำถามของแบบสอบถามให้สอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ รวมทั้งครอบคลุมวัตถุประสงค์การวิจัย
กรอบแนวคิดการวิจัย และสาระสำคัญอย่างครบถ้วนทำได้อย่างไร ทั้งนี้ เพื่อช่วยเพิ่มมาตรฐานให้
แบบสอบถาม อันจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลตลอดจนการนำเสนอผลงานวิจัยสนาม
ของการทำวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ ให้มีมาตรฐานตามไป
ด้วย นอกจากนี้แล้ว ผู้ศึกษายังอาจนำ
วิทยานิพนธ์
คำถามของแบบสอบถามได้เขียนขึ้นอย่างเป็นระบบหรือไม่เพียงใดอีกด้วย บทความนี้แบ่งการนำเสนอ
เป็น
ของแบบสอบถามให้สอดคล้องกันโดยแสดงไว้ในตาราง และ
“เทคนิคการเขียนแบบสอบถามสำหรับการทำวิจัยหรือ” นี้ไปใช้เป็นเครื่องมือหรือตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการตรวจสอบว่าแบบสอบถามหรือ4 หัวข้อ ได้แก่ (1) บทนำ (2) เทคนิคการเขียนคำถามของแบบสอบถาม (3) เทคนิคการเขียนคำถาม(4) บทสรุป2.
เทคนิคการเขียนคำถามของแบบสอบถามเพื่อช่วยให้การเขียนคำถามของแบบสอบถามชัดเจน ตรงประเด็น ได้มาตรฐาน และง่าย
รวมทั้งเพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้ศึกษา ผู้ทำวิจัย หรือผู้ทำวิทยานิพนธ์เขียนแบบสอบถามได้เองและไม่
จำเป็นต้องไปลอกแบบสอบถามของเดิมที่ได้เคยเขียนไว้แล้วมาใช้อย่างไม่รู้ที่มาที่ไป หรือไม่ทราบไม่
เข้าใจว่าโครงสร้างหรือองค์ประกอบของคำถามแต่ละข้อในแบบสอบถามประกอบด้วยอะไรบ้าง
เหล่านี้คือแรงดลใจและนำมาสู่การตัดสินใจเขียนเทคนิคข้อนี้ โดยผู้เขียนบทความนี้ได้ค้นหาจุดร่วม
หรือสาระสำคัญร่วมของคำถามของแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการแต่ละข้อ แล้วพยายาม
ประดิษฐ์หรือสร้าง
“สูตรสำเร็จ” ของการเขียนคำถามของแบบสอบถามในลักษณะของ “โครงสร้าง2
หรือองค์ประกอบของคำถามของแบบสอบถามแต่ละข้อ
การบริหารจัดการ และแม้จะไม่อาจนำเทคนิคนี้ไปปรับใช้กับคำถามทุกข้อของแบบสอบถามได้ แต่
อย่างน้อยก็น่าจะเป็นประโยชน์และนำไปปฏิบัติได้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ยังอาจนำเทคนิคนี้ไปประยุกต์
หรือปรับใช้กับการเขียนคำถามของแบบสอบถามสำหรับสาขาวิชาอื่นได้อีกด้วย
กล่าวได้ว่า คำถามทุกข้อของแบบสอบถามควรมี
น้อย
ใดส่วนหนึ่งไม่ได้
” สำหรับการทำวิจัยหรือวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับ“โครงสร้าง” หรือ มี “องค์ประกอบ” อย่าง4 ส่วน (คำว่า องค์ประกอบ หมายถึง ส่วนสำคัญหลายส่วนที่จะต้องมีอยู่ครบทุกส่วน จะขาดส่วน)องค์ประกอบที่
หน่วยงาน หรือ
และควรใส่ประธานนั้นไว้
ให้บริการประชาชนของเทศบาล หากผู้ศึกษาไม่ใส่ประธานของประโยคไว้ในคำถามทุกข้อ จะทำให้
ผู้ตอบแบบสอบถามสับสนหรือไม่เข้าใจว่า แบบสอบถามข้อนั้นต้องการสอบถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับ
หน่วยงาน หรือบุคลากรของหน่วยงาน หรือระบบของหน่วยงานนั้น การระบุประธานของประโยค
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไว้ข้างหน้าประโยค จะทำให้คำถามชัดเจน รวมทั้งทำให้ผู้ศึกษา ผู้ทำวิจัย หรือผู้ทำ
วิทยานิพนธ์และผู้ตอบแบบสอบถามไม่สับสน ส่งผลให้ได้คำตอบที่ตรงประเด็น
องค์ประกอบที่
จัดการ
หรือทำวิทยานิพนธ์ รวมทั้งรับปริญญาโทเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ใด
ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการให้บริการประชาชน
บริหารจัดการด้านการประสานงาน
บริหารจัดการด้านการให้บริการประชาชน
ประสานงาน
องค์ประกอบที่
เสมอ เช่น
เกี่ยวกับปัญหา เช่น
คำถามเกี่ยวกับ
จะต้องนำข้อความที่เป็นวัตถุประสงค์การวิจัยที่เกี่ยวกับแนวทางดังกล่าว เช่น
พัฒนาการบริหารจัดการของเทศบาล
องค์ประกอบที่
หรือกรอบแนวคิดแต่ละด้านอยู่ด้วยเสมอ เช่น ผู้ศึกษาได้นำ
คำถามทุกข้อจะต้องมีตัวชี้วัดหลักคำถามทุกข้อจะต้องมีวัตถุประสงค์การวิจัยอยู่ด้วยคำถามทุกข้อควรจะมีคำหรือความหมายของ 1 ประธานของประโยค (1) หน่วยงาน หรือ (2) บุคลากรของ(3) ระบบของหน่วยงาน ก็ได้ โดยคำถามทุกข้อควรจะมีประธานของประโยคเสมอ“ข้างหน้าประโยค” เช่น เทศบาล หรือเจ้าพนักงานเทศบาล หรือระบบการ2 การบริหารจัดการ “การบริหาร” หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการอยู่ด้วยเสมอ เนื่องจากผู้ศึกษากำลังศึกษา ทำวิจัย(ของหน่วยงานของรัฐ และ/หรือ) ในเวลาเดียวกัน ถ้าวัตถุประสงค์การวิจัยได้ระบุไว้ด้วยว่าเป็น “การบริหารจัดการด้าน” ผู้ศึกษาก็ควรระบุการบริหารจัดการด้านนั้น” ไว้ด้วยเสมอ เช่น มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ “ศึกษา” หรือ “ศึกษาแนวทางการพัฒนาการ” เป็นต้น หากเป็นเช่นนี้ คำถามจะต้องมีข้อความเกี่ยวกับ “การ” หรือ “แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการด้านการ” ตามลำดับ ปรากฏอยู่ด้วย3 วัตถุประสงค์การวิจัย (1) ถ้าเป็นคำถามเกี่ยวกับ “ปัญหา” ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อความที่เป็นวัตถุประสงค์การวิจัยที่“ศึกษาปัญหาการบริหารจัดการของเทศบาล” มาใส่ไว้ในคำถาม หรือ (2) ถ้าเป็น“แนวทางการพัฒนา หรือแนวทางการปรับปรุง หรือแนวทางการเสริมสร้าง” ผู้ศึกษา“ศึกษาแนวทางการ” มาใส่ไว้ด้วย4 ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิดแต่ละด้าน “แนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 63
ด้าน
รับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า
/หลัก1 ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความ” มาปรับใช้เป็นกรอบแนวคิดสำหรับการทำวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ (1)ถ้าเป็นคำถามเกี่ยวกับ
ให้บริการประชาชนของเทศบาล
ประชาชนของเทศบาล
ธรรม
ธรรม
สรุปได้ว่า โครงสร้างหรือองค์ประกอบของการเขียนคำถามทุกข้อของแบบสอบถามควร
ประกอบด้วย
องค์ประกอบที่
“ปัญหา” เช่น วัตถุประสงค์การวิจัย คือ “ปัญหาการบริหารจัดการด้านการ” และ “แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการด้านการให้บริการ” ทั้งนี้ โดยมี “แนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีด้านที่ 1 คือ หลักนิติ” เป็นกรอบแนวคิด หากเป็นกรณีนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำ “ข้อความที่เป็นตัวชี้วัดรองของหลักนิติ” มาเขียนใส่ไว้ในแบบสอบถามที่เกี่ยวกับปัญหา และแนวทางการพัฒนาดังกล่าวด้วย1 + 2 + 3 + 4
องค์ประกอบที่
หรือ(1)
ประโยค
ประธานของ(
หรือระบบ
หน่วยงาน บุคคล)
(2)
จัดการ
การบริหาร(
ก็ให้ระบุไว้ด้วย
หากเน้นด้านใด)
(3)
การวิจัย
วัตถุประสงค์(
ศึกษาแนวทางการพัฒนา
เช่น ศึกษาปัญหา หรือ)
(4 )
แนวคิด
กรอบ(
ด้าน
แต่ละ)ตัวอย่างที่หนึ่ง วัตถุประสงค์การวิจัย คือ
ประชาชนของเทศบาล
“ปัญหาการบริหารจัดการด้านการให้บริการ” และมี “แนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีด้านที่ 1 คือ หลักนิติธรรม”เป็นกรอบแนวคิด
ราชการไว้ในกฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจน และ
ระเบียบเป็นหลักในการบริหารจัดการมากกว่าใช้ดุลพินิจส่วนตัว
สูตร ประธานของประโยค
แทนค่า เทศบาลของท่าน
ขั้นตอนการปฏิบัติราชการไว้ในกฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจน
ตัวอย่างอาจตอบคำถามในลักษณะที่ เห็นด้วยในระดับมาก ปานกลาง หรือน้อย เป็นต้น
(โดย “ตัวชี้วัดรอง” ของหลักนิติธรรม เช่น (1) หน่วยงานกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติ(2) ผู้บริหารของหน่วยงานใช้กฎหมายหรือ) คำถามอาจเขียน ดังนี้+ การบริหารจัดการ + วัตถุประสงค์การวิจัย + กรอบแนวคิด+ มีการบริหารจัดการ + ที่เป็นปัญหา + คือ การไม่ได้กำหนด(ผู้ตอบแบบสอบถามหรือกลุ่ม)1
โปรดดู ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 25424
ปรับคำถาม ให้อ่านง่ายได้ ดังนี้
1)
เทศบาลของท่าน (มีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการให้บริการประชาชนที่)ไม่ได้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้บริการประชาชนไว้ในกฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจน หรือ
2)
กฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจน หรือ
เทศบาลของท่านไม่ได้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้บริการประชาชนไว้ใน3)
โดย
ให้บริการประชาชนมากกว่ายึดถือกฎหมายหรือระเบียบ หรือ
เทศบาลของท่าน (มีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการให้บริการประชาชน) เปิดโอกาสให้ผู้บริหารของเทศบาลใช้ดุลพินิจส่วนตัวในการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงาน4)
กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้บริการประชาชนมากกว่ายึดถือกฎหมายหรือระเบียบ
ตัวอย่างที่สอง วัตถุประสงค์การวิจัย คือ
ให้บริการประชาชนของเทศบาล
ธรรม
สูตร ประธานของประโยค
แทนค่า เทศบาลของท่าน
เทศบาลของท่านเปิดโอกาสให้ผู้บริหารของเทศบาลใช้ดุลพินิจส่วนตัวในการ“แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการด้านการ” และมี “แนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีด้านที่ 1 คือ หลักนิติ” เป็นกรอบแนวคิด คำถามแต่ละข้ออาจเขียน ดังนี้+ การบริหารจัดการ + วัตถุประสงค์การวิจัย + กรอบแนวคิด+ ควรมีการบริหารจัดการ + ที่สนับสนุนแนวทางการพัฒนา +ด้วยการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติราชการไว้ในกฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจน
หรือกลุ่มตัวอย่างอาจตอบคำถามในลักษณะที่ เห็นด้วยในระดับมาก ปานกลาง หรือน้อย เป็นต้น
(ผู้ตอบแบบสอบถาม)ปรับคำถาม ให้อ่านง่ายได้ ดังนี้
1)
การ
การใช้ดุลพินิจส่วนตัว หรือ
เทศบาลของท่านควร (สนับสนุนการบริหารจัดการด้านการให้บริการประชาชนด้วย) กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้บริการประชาชนไว้ในกฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจนมากกว่า2)
กฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจนมากกว่าการใช้ดุลพินิจส่วนตัว หรือ
เทศบาลของท่านควรกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้บริการประชาชนไว้ใน3)
ให้บริการประชาชนโดยควร
การปฏิบัติงานให้บริการประชาชนเท่าที่จำเป็น หรือ
เทศบาลของท่านควร (สนับสนุนแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการด้านการ) กำหนดให้ผู้บริหารของเทศบาลใช้ดุลพินิจส่วนตัวในการกำหนดขั้นตอน4)
กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้บริการประชาชนเท่าที่จำเป็น
เทศบาลของท่านควรกำหนดให้ผู้บริหารของเทศบาลใช้ดุลพินิจส่วนตัวในการ3.
เทคนิคการเขียนคำถามของแบบสอบถามให้สอดคล้องกัน5
แบบสอบถามสำหรับการทำวิจัยหรือวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการควรประกอบด้วย
ส่วนสำคัญอย่างน้อย
ส่วนที่
ไม่ได้นำมาศึกษาหรือพิจารณาในครั้งนี้ด้วย
3 ส่วน ได้แก่1 คือ คำถามเกี่ยวกับภูมิหลังหรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม (ส่วนนี้)ส่วนที่
ส่วนที่
เสริมสร้าง หรือข้อเสนอแนะก็ได้
หมายเหตุ คำถามของแบบสอบถามอาจเขียนได้มากมาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การวิจัย
ขอบเขตการวิจัย และกรอบแนวคิดการวิจัย ในที่นี้ขอยกตัวอย่างคำถามสำหรับการทำวิจัยหรือ
วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ ดังต่อไปนี้
2 คือ คำถามเกี่ยวกับปัญหาของหน่วยงานที่ศึกษา และ3 คือ คำถามเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา หรือเรียกว่า แนวทางการปรับปรุง แนวทางการ1)
คำถามเกี่ยวกับภูมิหลังหรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม2)
คำถามเกี่ยวกับความเป็นมาหรือวิวัฒนาการของการบริหารจัดการของหน่วยงาน3)
คำถามเกี่ยวกับสภาพการบริหารจัดการในปัจจุบันของหน่วยงาน4)
ผลสำเร็จ
คำถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีส่วนสำคัญทำให้การบริหารจัดการของหน่วยประสบ5)
ที่
6)
คำถามเกี่ยวกับปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการของหน่วยงาน (ข้อนี้คล้ายกับส่วน2 ซึ่งนำมาพิจารณาหรือศึกษาในครั้งนี้)คำถามเกี่ยวกับการพัฒนาหรือแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการของหน่วยงาน(
7)
หน่วยงานประสบผลสำเร็จ
ข้อนี้คล้ายกับส่วนที่ 3 ซึ่งนำมาพิจารณาหรือศึกษาในครั้งนี้)คำถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีส่วนสำคัญทำให้แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการของ8)
ของการบริหารจัดการของหน่วยงาน
คำถามเกี่ยวกับการเปรียบเทียบภาพรวมการบริหารจัดการและภาพรวมแนวโน้ม9)
การบริหารจัดการของหน่วยงาน
คำถามเกี่ยวกับการเปรียบเทียบความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างบางกลุ่มต่อภาพรวม10)
ประศาสนศาสตร์หรือการบริหารจัดการภาครัฐที่ครอบคลุมอย่างน้อย
(
คำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการอื่นที่อยู่ภายในขอบเขตหรือสาระสำคัญของรัฐ14 เรื่อง ดังแสดงไว้ในภาพที่ 1บางเรื่องได้แสดงไว้ในหัวข้อ 2)-9) แล้ว)6
ภาพที่
ของรัฐ และ
1 ขอบเขตหรือสาระสำคัญของรัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารจัดการภาครัฐ (หน่วยงาน/หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ) ที่ครอบคลุมอย่างน้อย 15 เรื่อง215.
เปรียบ ความหมาย
การ 1. แนวคิด2. ความ14.
ขอบเขต ความจำเป็น
แนวโน้ม เทียบ และ สำคัญและ13.
รัฐประศาสนศาสตร์
การพัฒนา 3. ความเป็นมา12.
ภาครัฐที่มีขอบเขต
ปัญหาอุปสรรค หรือการบริหารจัดการ 4. กระบวนการ11.
อย่างน้อย
สภาพแวดล้อม ครอบคลุมสาระสำคัญ 5. ยุทธศาสตร์15 เรื่อง 6. ระบบ10.
สนับสนุน หรือการ
คัดค้านแนวคิด มีส่วนสำคัญ ประยุกต์ ข้อเสีย
อื่น ทำให้ประสบความ
สำเร็จ
โดยปกติ แบบสอบถามสำหรับการทำวิจัย หรือการทำวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ
ความสัมพันธ์ การ หรือภาพรวม9. ปัจจัยที่ 8. การ 7. ข้อดีและ“
ประกอบด้วย
ที่ว่า การที่ผู้ศึกษาเลือกศึกษา ทำวิจัย หรือทำวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานใด ก็เพราะหน่วยงานนั้น
ได้มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังประสบกับปัญหา ตัวอย่างเช่น เกิดปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
ด้านการอำนวยความสะดวกและการให้บริการประชาชน จึงมีส่วนสำคัญทำให้ผู้ศึกษาสนใจเลือกศึกษา
หน่วยงานนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า หากหน่วยงานไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาหน่วยงาน
นั้น และผลที่ได้จากการศึกษาปัญหานั้นจะเป็นพื้นฐานสำหรับการเสนอแนวทางการพัฒนาหรือ
การพัฒนาหรือปรับปรุงการบริหารจัดการของหน่วยงานของรัฐ และ/หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” จะ2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ (1) “ปัญหา” และ (2) “แนวทางการพัฒนา” เนื่องจากเหตุผลสำคัญ2
ปรับปรุงมาจาก วิรัช วิรัชนิภาวรรณ, หลักรัฐประศาสนศาสตร์ : แนวคิดและกระบวนการ(
กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด, 2549), หน้า 72, 89.7
ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาของหน่วยงานนั้นได้อย่างตรงประเด็น การศึกษาปัญหาและแนวทางการ
พัฒนาควบคู่กันเช่นนี้ จะมีส่วนทำให้การศึกษา การทำวิจัยหรือวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการพัฒนา
หน่วยงานดังกล่าวนั้นเป็นระบบเพิ่มมากขึ้น
บทความนี้ได้นำส่วนที่
คำถามของแบบสอบถามให้สอดคล้องกัน
สองหรือช่องกลาง และส่วนที่
ด้านซ้ายมือ ได้กำหนดให้เป็นช่องที่ผู้ศึกษาจะต้องนำ
ด้าน
2 และส่วนที่ 3 ดังกล่าว มาเป็นข้อมูลในการนำเสนอ “เทคนิคการเขียน”โดยในตารางข้างล่างนี้ ได้แสดง ส่วนที่ 2 ปัญหา ไว้ในช่องที่3 แนวทางการพัฒนา ไว้ในช่องที่สามหรือช่องขวามือ สำหรับช่องที่หนึ่ง“ตัวชี้วัดหลัก หรือเรียกว่า กรอบแนวคิดแต่ละ” มาใส่ไว้ อธิบายเพิ่มเติมได้ว่า1)
และ สอง
ช่องที่หนึ่ง “ตัวชี้วัดรองของตัวชี้วัดหลัก หรือของกรอบแนวคิดแต่ละด้าน ๆ ละ 2-5 ข้อ”เทคนิค
ของผู้ศึกษามาใส่ไว้ด้วย
ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิดจำนวน
ของกรอบแนวคิดแต่ละด้านนั้น มาใส่ไว้ด้านละ
หนังสือ เรื่อง
(1) ให้ผู้ศึกษานำ “ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิดแต่ละด้านของวิทยานิพนธ์” เช่น “แนวทางการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 6 ด้าน/หลัก” ซึ่งประกอบด้วย6 ด้าน และ (2) ให้ผู้ศึกษานำ “ตัวชี้วัดรองของตัวชี้วัดหลัก หรือ2-5 ข้อ” โดยผู้ศึกษาอาจเลือกนำ “ตัวชี้วัดรอง” มาจาก“การบริหารจัดการของหน่วยงานของรัฐ : การวิเคราะห์เปรียบเทียบตัวชี้วัด”32)
เทคนิค
ข้อที่อยู่ในช่องที่หนึ่งซ้ายมือ โดยในแต่ละคำถามที่เป็นปัญหาจะต้องมีคำว่า
ปฏิเสธ
จัดการ อีกทั้งคำว่า
ละข้ออย่างเป็นระบบที่มี
ตัวชี้วัดรองแต่ละข้อในช่องที่หนึ่งด้านซ้ายมือ
ให้ผู้ศึกษาเขียนคำถามแต่ละข้อไปในทิศทางตรงกันข้ามกับตัวชี้วัดรองแต่ละช่องที่สอง “ส่วนที่ 2 ปัญหา” ผู้ศึกษาอาจเขียนด้านละ 2-5 ข้อ“ไม่” หรือ “เป็นประโยค” เสมอ เหตุผลที่เขียนไปในด้านลบ เพราะในส่วนที่ 2 นั้น เป็นคำถามเกี่ยวกับปัญหาการบริหาร“ปัญหา” หมายถึงเรื่องที่ไม่ดี การเขียนเช่นนี้ ได้แสดงถึง การเขียนแบบสอบถามแต่“ความสอดคล้องกัน” โดยสอดคล้องไปใน “ทิศทางตรงกันข้ามด้านลบ” กับ3)
หรือเขียนว่า แนวทางการเสริมสร้าง
เทคนิค
ปัญหาแต่ละข้อในช่องที่สองหรือช่องกลาง โดยในแต่ละคำถามที่เป็นแนวทางการพัฒนา หรือแนวทาง
การปรับปรุง หรือแนวทางการเสริมสร้างจะต้องมีคำว่า
คำถามที่เขียนไปในด้านบวกหรือเป็นประโยคที่แสดงถึงด้านดีเสมอ เนื่องจากเป็นคำถามที่เป็น
ข้อเสนอแนะ หรือแนวทางการพัฒนา การเขียนเช่นนี้ ได้แสดงถึง การเขียนแบบสอบถามแต่ละข้ออย่าง
ให้ผู้ศึกษาเขียนคำถามแต่ละข้อไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคำถามที่เป็นช่องที่สาม “ส่วนที่ 3 แนวทางการพัฒนา หรือเขียนว่า แนวทางการปรับปรุง” ผู้ศึกษาอาจเขียนด้านละ 2-5 ข้อ“ควร” อยู่ด้วยเสมอ คำถามในช่องนี้จะต้องเป็น3
ตัวชี้วัด
ปรับปรุงจาก วิรัช วิรัชนิภาวรรณ, การบริหารจัดการของหน่วยงานของรัฐ : การวิเคราะห์เปรียบเทียบ(กรุงเทพ-มหานคร : สำนักพิมพ์โฟร์เพซ, 2552), 158 หน้า.8
เป็นระบบที่มี
เป็นปัญหาแต่ละข้อในช่องที่สองหรือช่องกลาง
“ความสอดคล้องกัน” โดยสอดคล้องไปใน “ทิศทางตรงกันข้ามด้านบวก” กับคำถามที่(โปรดดูตารางที่ 1)ตารางที่
ประกอบด้วย
ของกรอบแนวคิดแต่ละด้าน ช่องที่สอง คือ ส่วนที่
พัฒนา
ช่องที่หนึ่ง ช่องที่สอง ช่องที่สาม
ประกอบด้วย
กรอบแนวคิดแต่ละด้าน และ
1 เทคนิคการเขียนคำถามของแบบสอบถามที่สอดคล้องกันโดยแบ่งเป็น 3 ช่อง คือ ช่องที่หนึ่ง(1) ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิดแต่ละด้าน และ (2) ตัวชี้วัดรองของตัวชี้วัดหลัก หรือ2 ปัญหา และ ช่องที่สาม คือ ส่วนที่ 3 แนวทางการ(1) ตัวชี้วัดหลัก หรือ(2)ตัวชี้วัดรองของตัวชี้วัดหลัก หรือ
ของกรอบแนวคิดแต่ละด้าน
(
เทคนิค คือ หนึ่ง ให้ผู้ศึกษานำ“
ละด้านมาใส่ไว้
ศึกษานำ
หลัก หรือของกรอบแนวคิดแต่ละ
ด้านนั้น โดยอาจนำมาเขียนใส่ไว้
ด้านละ
ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิดแต่” และ สอง ให้ผู้“ตัวชี้วัดรองของตัวชี้วัด2-5 ข้อ”)ส่วนที่
จัดการ หรือปัญหาที่เกี่ยวกับ
การบริหารจัดการ
ให้ผู้ศึกษาเขียนคำถามแต่ละ
ข้อไปในทิศทางตรงกันข้าม
กับตัวชี้วัดรองแต่ละข้อที่อยู่
ในช่องที่หนึ่งซ้ายมือ โดยใน
แต่ละคำถามที่เป็นปัญหา
จะต้องมีคำว่า
ประโยคปฏิเสธ
2 ปัญหาการบริหาร(เทคนิค คือ“ไม่” หรือ “เป็น” เสมอ)ส่วนที่
หรือแนวทางการปรับปรุง
หรือแนวทางการเสริมสร้าง
3 แนวทางการพัฒนา(
คำถามแต่ละข้อไปในทิศทาง
ตรงกันข้ามกับคำถามที่เป็น
ปัญหาแต่ละข้อในช่องที่สอง
หรือช่องกลาง โดยในแต่ละ
คำถามที่เป็นแนวทางการ
พัฒนาจะต้องมีคำว่า
ด้วยเสมอ
เทคนิค คือ ให้ผู้ศึกษาเขียน“ควร” อยู่)ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิด
ด้านที่
1.1 ..... (
ขั้นตอนการปฏิบัติราชการไว้ใน
กฎหมายหรือระเบียบอย่างชัดเจน
1.2 ..... (
หน่วยงานใช้กฎหมายหรือระเบียบ
เป็นหลักในการบริหารจัดการ
มากกว่าใช้ดุลพินิจส่วนตัว
1.1 ..... (
ท่านไม่ได้กำหนดขั้นตอนการ
ปฏิบัติราชการไว้ในกฎหมาย
หรือระเบียบอย่างชัดเจน
1 (เช่น หลักนิติธรรม)เช่น หน่วยงานกำหนด)เช่น ผู้บริหารของ)เช่น หน่วยงานของ)1.2 ..... (
หน่วยงานของท่านไม่ได้ใช้
กฎหมายหรือระเบียบเป็นหลัก
ในการบริหารจัดการ
1.1 .....(
ท่านควรกำหนดขั้นตอนการ
ปฏิบัติราชการไว้ในกฎหมาย
หรือระเบียบอย่างชัดเจน
เช่น ผู้บริหารของ)เช่น หน่วยงานของ)1.2 ..... (
หน่วยงานของท่านควรใช้
กฎหมายหรือระเบียบเป็นหลัก
ในการบริหารจัดการมากกว่า
ใช้ดุลพินิจส่วนตัว
เช่น ผู้บริหารของ)9
1.3 ..... (
หลักเกณฑ์การปฏิบัติหน้าที่ให้
ทันสมัยและสอดคล้องกับ
สถานการณ์
เช่น) หน่วยงานปรับปรุง1.4 ..... (
หน่วยงานปฏิบัติตามระเบียบและ
กฎหมายที่เป็นธรรมอย่างเคร่งครัด
เช่น) บุคลากรของ1.5 ..... (
หน่วยงานเข้าใจกฎหมายและ
ระเบียบในการปฏิบัติหน้าที่อย่าง
ชัดเจน
เช่น) บุคลากรของ1.3 ..... (
ท่านไม่ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์
การปฏิบัติหน้าที่ให้ทันสมัย
และสอดคล้องกับสถานการณ์
เช่น) หน่วยงานของ1.4 ..... (
หน่วยงานของท่านไม่ได้
ปฏิบัติตามระเบียบและ
กฎหมายที่เป็นธรรมอย่าง
เคร่งครัด
เช่น) บุคลากรของ1.5 ..... (
หน่วยงานของท่านไม่เข้าใจ
กฎหมายและระเบียบในการ
ปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน
เช่น) บุคลากรของ1.3 ..... (
ท่านควรปรับปรุงหลักเกณฑ์
การปฏิบัติหน้าที่ให้ทันสมัย
และสอดคล้องกับสถานการณ์
เช่น) หน่วยงานของ1.4 ..... (
หน่วยงานของท่านควรปฏิบัติ
ตามระเบียบและกฎหมายที่
เป็นธรรมอย่างเคร่งครัด
เช่น) บุคลากรของ1.5 ..... (
หน่วยงานของท่านควรเข้าใจ
กฎหมายและระเบียบในการ
ปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน
เช่น) บุคลากรของ2 (เช่น หลักคุณธรรม)ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิด
ด้านที่
3.1
3.2
3.3
3.4
3.5
3.1
3.2
3.3
3.4
3.5
3.1
3.2
3.3
3.4
3.5
3 (เช่น หลักความโปร่งใส)ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิด
ด้านที่
4.1
4.2
4.1
4.2
4.1
4.2
4 (เช่น หลักการมีส่วนร่วม)10
4.3
4.4
4.5
4.3
4.4
4.5
4.3
4.4
4.5
ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิด
ด้านที่
รับผิดชอบ
5.1
5.2
5.3
5.4
5.5
5.1
5.2
5.3
5.4
5.5
5.1
5.2
5.3
5.4
5.5
5 (เช่น หลักความ)ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิด
ด้านที่
6.1
6.2
6.3
6.4
6.5
6.1
6.2
6.3
6.4
6.5
6.1
6.2
6.3
6.4
6.5
6 (เช่น หลักความคุ้มค่า)เทคนิคการเขียนแบบสอบถามให้สอดคล้องกันข้างต้นนี้ มีส่วนดีหรือข้อดีที่สำคัญ
5 ข้อ ดังนี้1)
ทำให้ง่ายต่อการเขียนคำถามในแบบสอบถาม2)
กล่าวคือ หนึ่ง
หลัก หรือของกรอบแนวคิด
บริหารจัดการ
แนวทางการเสริมสร้าง
จัดการ
3)
เป็นระบบ มิใช่เขียน
เป็นการแสดงถึงความสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบของคำถามในแต่ละส่วน“ช่องที่หนึ่ง (1) ตัวชี้วัดหลัก หรือเรียกว่ากรอบแนวคิด และ (2) ตัวชี้วัดรองของตัวชี้วัด” สอดคล้อง “ในทิศทางตรงกันข้ามด้านลบ” กับ “ส่วนที่ 2 ปัญหาการ” และ สอง “ส่วนที่ 3 แนวทางการพัฒนา หรือเรียกว่า แนวทางการปรับปรุง หรือเรียกว่า” สอดคล้อง “ในทิศทางตรงกันข้ามด้านบวก” กับ “ส่วนที่ 2 ปัญหาการบริหาร”ทำให้คำถามในแบบสอบถามเป็นเรื่องเดียวกัน สอดคล้องกัน หรือสัมพันธ์กันอย่าง“ปัญหา” อะไรมาก็ได้ โดยไม่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ4)
เรียกว่า
อย่างตั้งใจหรือไม่ โดยผู้ศึกษาพิจารณาหรือตรวจสอบได้จากคำตอบของแต่ละส่วนดังกล่าวไว้ในข้อ
ทำให้ผู้ศึกษาสามารถตรวจสอบการตอบคำถามของผู้ตอบหรือของกลุ่มตัวอย่างที่cross-check ได้ด้วยว่า ผู้ตอบแบบสอบถามหรือกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามได้ตอบคำถาม2)11
ข้างต้นว่า เป็นไปในแนวทางเดียวกันหรือสอดคล้องกันหรือไม่ นั่นก็คือ
บริหารจัดการ
แนวทางการปรับปรุง หรือแนวทางการเสริมสร้างการบริหารจัดการ
แบบสอบถามไม่เป็นไปในแนวทางดังกล่าว อาจถือว่า หรือมีแนวโน้มว่า ผู้ตอบแบบสอบถามตอบอย่าง
ไม่ตั้งใจตอบ หากเกิดกรณีเช่นนี้ ผู้ศึกษาอาจนำไปเขียนเป็นข้อสังเกตไว้ในบทสุดท้ายของการศึกษา
การวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ได้
“คำตอบในส่วนที่ 2 ปัญหาการ” จะต้องเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับ “คำตอบในส่วนที่ 3 แนวทางการพัฒนา หรือ” หากคำตอบของผู้ตอบ5)
แนวทางหรือตัวชี้วัดสำหรับการตรวจสอบแบบสอบถามใด ๆ ว่า เป็นแบบสอบถามที่ให้ความสำคัญกับ
ความสอดคล้องกันของคำถามในแต่ละส่วนหรือไม่
อย่างไรก็ดี เทคนิคที่กล่าวมานี้อาจมีข้อเสีย เป็นต้นว่า ทำให้คำถามของแบบสอบถามอยู่ใน
ทิศทางเดียวกันทั้งหมด หรืออยู่ในกรอบแคบเท่านั้น
จะต้องสอดคล้องกับส่วนอื่นด้วย
เทคนิคดังกล่าว คือ ชั่งน้ำหนักระหว่าง
กว้าง กับ
ระบบและไม่สัมพันธ์หรือสอดคล้องกับส่วนอื่น ๆ
ผู้ศึกษาอาจนำเทคนิคการเขียนแบบสอบถามให้สอดคล้องกันดังกล่าวนี้ ไปใช้เป็น(จุดอ่อนข้อนี้ อาจแก้ไขได้โดยเขียนคำถามเพิ่มซึ่ง) เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ศึกษาควรชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสียของ(1) การสร้างคำถามอย่างเป็นระบบที่สอดคล้องกันแต่ไม่เปิด(2) การสร้างคำถามที่เปิดกว้าง อยากจะเขียนอะไรก็ได้ โดยไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน ไม่เป็น4.
บทสรุปแม้ผู้เขียนบทความนี้ปรารถนาให้
วิทยานิพนธ์
ของแบบสอบถามให้สอดคล้องกัน เป็นสูตรสำเร็จที่นำมาปรับใช้ได้กับคำถามทุกข้อของแบบสอบถาม
ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ อาจเกิดขึ้นไม่ง่ายนัก เพราะผู้ศึกษาขาดความเข้าใจ ขากการฝึกฝน และขาด
ความชำนาญ อย่างไรก็ดี อย่างน้อยเทคนิคดังกล่าวนี้ก็จะมีส่วนช่วยแสดงให้ปรากฏสาระสำคัญที่ว่า
คำถามของแบบสอบถามสำหรับการศึกษา การทำวิจัย หรือการทำวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับการบริหาร
จัดการของหน่วยงานของรัฐ และ
คำถามของแบบสอบถามแต่ละส่วนมีความสอดคล้องกันได้อย่างไร
“เทคนิคการเขียนแบบสอบถามสำหรับการทำวิจัยหรือ” ที่แบ่งเป็น (1) เทคนิคการเขียนคำถามของแบบสอบถาม และ (2) เทคนิคการเขียนคำถาม/หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีโครงสร้างหรือองค์ประกอบใดบ้าง และตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิด
ด้านที่
2.1 ...........
2.2 ...........
2.3 ...........
2.4 ..........
2.5 ..........
2.1 ..........
2.2 ..........
2.3 ...........
2.4 ..........
2.5 ..........
2.1 .........
2.2 .........
2.3 .........
2.4 .........
2.5 .........
คือ คือ ประกอบด้วย หนึ่ง ตัวชี้วัดหลัก หรือกรอบแนวคิดแต่ละด้านที่นำมาใช้ซึ่งอาจเป็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น