วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

มงคล38ประการ

มงคล 38 ประการ
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว คืนหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ ณ  เชตวันมหาวิหาร ใกล้เมืองสาวัตถี ท้าวสักกเทวราชได้นำหมู่เทวดาเข้าเฝ้าและทูลถามพระองค์ว่า อะไรคือมงคลของชีวิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงหลักมงคล ซึ่งมีทั้งหมด ๓๘ ประการ มงคลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยึดถือวัตถุ แต่ยึดถือการปฏิบัติฝึกฝนตนเอง

เรื่องภายในย่อมสำคัญกว่าเรื่องภายนอกตน
คนที่รู้เพียงเปลือกนอกย่อมสู้คนที่รู้ถึงแก่นไม่ได้
อดีต คือ ความฝัน     
ปัจจุบัน คือ ภาพมายา    
อนาคต คือ ความไม่แน่นอน

คิดก่อนทำ     อดทนไว้     พึงอภัย
ไม่มีอะไรเป็นของเรา     แม้แต่ตัวของเราเอง
โกงคนอื่น         เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง
เมตตาคนอื่น         เหมือนสร้างบ้านให้ตัวเอง
อย่าระแวงคนอื่น     ยิ่งกว่าระวังตัวเอง
ชีวิตไม่พอกับตัณหา     เวลาไม่พอกับความต้องการ
ที่พักครั้งสุดท้าย     คือป่าช้า

ถ้าท่านทำงานแข่งกับสังคม     ความพินาศล่มจมจะตามมา
ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า     ท่านจะพบปัญหาเรื่อยไป
ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้     ท่านอย่าหว ังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
ถ้าท่านกล้าเกินไป     ท่านจะทำอะไรไม่สำเร็จ
ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม     ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
ถ้าท่านขาดความพอดี     ท่านจะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์
ถ้าท่านขาดความยังคิด     ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย
ถ้าท่านทำใจให้สงบ     ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
ถ้าท่านมีความพอดี     ท่านจะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก
ถ้าท่านมีแต่ความงก     ท่านจะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี
ถ้าท่านมีเมตตาจิต     ท่านจะมีญาติมิตรทั่วบ้าน
ถ้าท่านเมตตาเกินประมาณ     ท่านจะพบคนพาลทั่วเมือง
ถ้าท่านคิดถึงความหลัง     ท่านจะพบรังแห่งความเศร้า
ถ้าท่านมีความมัวเมา     ท่านจะพบความปวดร้าวภายหลัง
ถ้าท่านทำดีเพื่อเด่น     ท่านจะถูกขเม่นจากญาติมิตร
ถ้าท่านทำดีเพื่อน้ำจิต     ท่านจะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย
ถ้าท่านหวังพึ่งแต่คนอื่น     ท่านจะต้องกลืนน้ำตาตัวเอง
ถ้าท่านรู้จักใช้เวลา     ชีวิตจะมีค่ากว่านี้
ถ้าไม่กินอยู่เท่าที่มี     จะได้เป็นเศรษฐีเงินกู้
ถ้ามั่วสุมกับอมายมุข     จะพบความทุกข์ในเบื้องปลาย
ถ้าทำหูเบาตามเขาว่า     จะต้องน้ำตาตกใน
ถ้าพูดโดยไม่คิด      เท่ากับพ่นลมพิษใส่คนอื่น
ถ้าจริงจังกับโลกเกินไป     จะต้องตายเพราะความเศร้า
ถ้าต้องการความเป็นอิสระ     ให้พยายามชนะใจตัวเอง
ถ้าไม่รู้จักความทุกข์     จะพบกับความสุขได้ที่ไหน
ถ้าไม่ยอมปล่อยวาง     จะพบกับความว่างได้อย่างไร
ถ้าหาความสุขจากความมัวเมา     ท่านกำลังจับเงาในกระจก
ถ้าอยากเป็นคนงาม     อย่าวู่วามโกรธง่าย
ถ้าอยากเป็นคนสบาย     อย่าเบื่อหน่ายความเพียร
ถ้าอยากเป็นคนมั่งมี     อย่าเป็นคนดีแต่จ่าย
ถ้าอยากเป็นคนนำสมัย     อย่าทำลายวัฒนธรรม
ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ     อย่าเหยียดหยามคนอื่น
ถ้าอยากเป็นคนความรู้     อย่าลบหลู่อาจารย์
ถ้าอยากหาความสำราญ     อย่าล้างผลาญสมบัติ
ถ้าอยากเป็นคนมีอำนาจ     อย่าขาดความยุติธรรม
ถ้าอยากเป็นคนดัง     อย่าหวังความสงบ
ถ้าอยากเป็นที่เคารพ     ต้องพบความจบก่อนตาย

อย่าทำตัวให้เด่น     โดยการสร้างหนี้ให้ตัวเอง
(อย่าพยายามทำใจคนอื่นให้เหมือนใจเรา      เพราะเราก็ทำใจให้เหมือนคนอื่นไม่ได้)
มงคล 38 ประการ
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว คืนหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ ณ  เชตวันมหาวิหาร ใกล้เมืองสาวัตถี ท้าวสักกเทวราชได้นำหมู่เทวดาเข้าเฝ้าและทูลถามพระองค์ว่า อะไรคือมงคลของชีวิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงหลักมงคล ซึ่งมีทั้งหมด ๓๘ ประการ มงคลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยึดถือวัตถุ แต่ยึดถือการปฏิบัติฝึกฝนตนเอง

เรื่องภายในย่อมสำคัญกว่าเรื่องภายนอกตน
คนที่รู้เพียงเปลือกนอกย่อมสู้คนที่รู้ถึงแก่นไม่ได้
อดีต คือ ความฝัน     
ปัจจุบัน คือ ภาพมายา    
อนาคต คือ ความไม่แน่นอน

คิดก่อนทำ     อดทนไว้     พึงอภัย
ไม่มีอะไรเป็นของเรา     แม้แต่ตัวของเราเอง
โกงคนอื่น         เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง
เมตตาคนอื่น         เหมือนสร้างบ้านให้ตัวเอง
อย่าระแวงคนอื่น     ยิ่งกว่าระวังตัวเอง
ชีวิตไม่พอกับตัณหา     เวลาไม่พอกับความต้องการ
ที่พักครั้งสุดท้าย     คือป่าช้า

ถ้าท่านทำงานแข่งกับสังคม     ความพินาศล่มจมจะตามมา
ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า     ท่านจะพบปัญหาเรื่อยไป
ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้     ท่านอย่าหว ังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
ถ้าท่านกล้าเกินไป     ท่านจะทำอะไรไม่สำเร็จ
ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม     ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
ถ้าท่านขาดความพอดี     ท่านจะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์
ถ้าท่านขาดความยังคิด     ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย
ถ้าท่านทำใจให้สงบ     ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
ถ้าท่านมีความพอดี     ท่านจะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก
ถ้าท่านมีแต่ความงก     ท่านจะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี
ถ้าท่านมีเมตตาจิต     ท่านจะมีญาติมิตรทั่วบ้าน
ถ้าท่านเมตตาเกินประมาณ     ท่านจะพบคนพาลทั่วเมือง
ถ้าท่านคิดถึงความหลัง     ท่านจะพบรังแห่งความเศร้า
ถ้าท่านมีความมัวเมา     ท่านจะพบความปวดร้าวภายหลัง
ถ้าท่านทำดีเพื่อเด่น     ท่านจะถูกขเม่นจากญาติมิตร
ถ้าท่านทำดีเพื่อน้ำจิต     ท่านจะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย
ถ้าท่านหวังพึ่งแต่คนอื่น     ท่านจะต้องกลืนน้ำตาตัวเอง
ถ้าท่านรู้จักใช้เวลา     ชีวิตจะมีค่ากว่านี้
ถ้าไม่กินอยู่เท่าที่มี     จะได้เป็นเศรษฐีเงินกู้
ถ้ามั่วสุมกับอมายมุข     จะพบความทุกข์ในเบื้องปลาย
ถ้าทำหูเบาตามเขาว่า     จะต้องน้ำตาตกใน
ถ้าพูดโดยไม่คิด      เท่ากับพ่นลมพิษใส่คนอื่น
ถ้าจริงจังกับโลกเกินไป     จะต้องตายเพราะความเศร้า
ถ้าต้องการความเป็นอิสระ     ให้พยายามชนะใจตัวเอง
ถ้าไม่รู้จักความทุกข์     จะพบกับความสุขได้ที่ไหน
ถ้าไม่ยอมปล่อยวาง     จะพบกับความว่างได้อย่างไร
ถ้าหาความสุขจากความมัวเมา     ท่านกำลังจับเงาในกระจก
ถ้าอยากเป็นคนงาม     อย่าวู่วามโกรธง่าย
ถ้าอยากเป็นคนสบาย     อย่าเบื่อหน่ายความเพียร
ถ้าอยากเป็นคนมั่งมี     อย่าเป็นคนดีแต่จ่าย
ถ้าอยากเป็นคนนำสมัย     อย่าทำลายวัฒนธรรม
ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ     อย่าเหยียดหยามคนอื่น
ถ้าอยากเป็นคนความรู้     อย่าลบหลู่อาจารย์
ถ้าอยากหาความสำราญ     อย่าล้างผลาญสมบัติ
ถ้าอยากเป็นคนมีอำนาจ     อย่าขาดความยุติธรรม
ถ้าอยากเป็นคนดัง     อย่าหวังความสงบ
ถ้าอยากเป็นที่เคารพ     ต้องพบความจบก่อนตาย

อย่าทำตัวให้เด่น     โดยการสร้างหนี้ให้ตัวเอง
(อย่าพยายามทำใจคนอื่นให้เหมือนใจเรา      เพราะเราก็ทำใจให้เหมือนคนอื่นไม่ได้)
คนพาลคือใคร?
คนพาล คือ คนที่มีใจขุ่นมัวเป็นปกติ เป็นผลให้มีความเห็นผิด ยึดถือค่านิยมผิด ๆ และมีวินิจฉัยเสีย คือ ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วอะไรควรอะไรไม่ควร เช่น บัณฑิตเห็นว่า"เหล้า" เป็นของจัญไรทำให้ขาดสติ นำความเสื่อมมาให้นานัปการแต่คนพาลกลับเห็นว่า "เหล้า" เป็นของประเสริฐเป็นเครื่องกระชับมิตร  หรือบัณฑิตเห็นว่า "การเล่นไพ่" เป็นอบายมุข เป็นทางแห่งความฉิบหาย แต่คนพาลกลับเห็นว่า "การเล่นไพ่"เป็นสิ่งดี  เป็นการฝึกสมองซ้อมวิชาคำนวณ ดังนี้เป็นต้น
คนพาลเป็นคนเหมือนกับเรา คือมีร่างกายประกอบด้วยเลือดเนื้อเช่นเดียวกับเรา  และอาจมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเราก็ได้เช่น เป็นญาติพี่น้อง สามีภรรยา ครู  อาจารย์  ฯลฯ อาจเป็นผู้มีการศึกษาสูง อาจมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง อาจมีสมัครพรรคพวกมากแม้กระทั่งอาจบวชเป็นพระภิกษุ ฯลฯ  แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร มีความสัมพันธ์กับเราหรือไม่ ขึ้นชื่อว่าพาลแล้ว ถึงแม้จะมีความรู้  มีความสามารถก็ไม่ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ถูกที่ควร เพราะเขาแสลงต่อความดี เหมือนคนไข้แสลงต่อน้ำเย็น

ลักษณะของคนพาล
         เนื่องจากคนพาลมีใจขุ่นมัวอยู่เสมอ ทำให้ไม่สามารถควบคุมใจให้คิดไปในทางที่ถูกต้องได้ คนพาลจึงมีลักษณะวิปริตผิดจากคนทั้งหลาย ๓ ประการคือ
๑. ชอบคิดชั่วต่ำเป็นปกติวิสัย ได้แก่ คิดละโมบอยากได้ในทางทุจริต คิดพยาบาทปองร้าย คิดเห็นผิดเป็นชอบ ฯลฯ
๒. ชอบพูดชั่วต่ำเป็นปกติวิสัย ได้แก่  พูดปด พูดคำหยาบ พูดส่อเสียดยุยง  พูดเพ้อเจ้อ ฯลฯ
๓. ชอบทำชั่วต่ำเป็นปกติวิสัย  ได้แก่  เกะกะเกเร ชอบล้างผลาญชีวิตคนและสัตว์ ลักทรัพย์ ฉุดคร่าอนาจาร ฯลฯ

โทษของความเป็นคนพาล
๑.มีความเห็นผิด ก่อทุกข์ให้ตนเอง
๒.เสียชื่อเสียง ถูกติฉิมนินทา
๓.ไม่มีคนนับถือ ถูกเกลียดชัง
๔.หมดสิริมงคลหมดสง่าราศี
๕.ความชั่วเภทภัยทั้งหลาย จะไหลเข้ามาหาตัว
๖.ทำลายประโยชน์ของตนเองทั่วโลกนี้และโลกหน้า
๗.ทำลายวงศ์ตระกูลของตนเอง
๘.เมื่อละโลกไปแล้วมีอบายภูมิเป็นที่ไป

วิธีสังเกตคนพาล
คนพาลมักกระทำในสิ่งต่อไปนี้ คือ
    ๑.คนพาลชอบชักนำในทางที่ผิด
ชัก  คือ  ชักชวน เชิญชวน  ชี้ชวน หรือ เสนอแนะ
นำ คือ การทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
เช่น ชักชวนหนีโรงเรียน ชักชวนไปปล้นจี้ ชักชวนหนีตามกันไป ชักนำไปเป็นอันธพาล ฯลฯ การชักนำนี้อาจทำด้วยความหวังดีก็ได้ แต่ว่ามันผิด เช่นได้เงินมาก็ชักชวนเพื่อนไปเลี้ยงเหล้าเที่ยวกลางคือ อย่างนี้ก็จัดว่าเป็นคนพาล
ผู้ที่ยังเยาว์วัยอ่อนความคิด อ่อนสติ มักถูกชักนำได้โดยง่าย ผู้ใหญ่ในบ้านจึงควรระมัดระวังการกระทำ และคำพูดทั้งของตนเองและผู้ที่มาติดต่อคบหา เพราะเด็กมักจะจำ และทำตามอย่าง
    ๒.คนพาลชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ เกะกะเกเรหน้าที่การงานของตนไม่พยายามจัดการให้เรียบร้อย แต่ชอบไปก้าวก่ายหน้าที่การงานของผู้อื่น เช่น จับผิดผู้ร่วมงาน เขียนบัตรสนเท่ห์ กลั่นแกล้ง  รังแก ทำความรบกวนให้เดือดร้อน ฯลฯ
    ๓.คนพาลชอบแต่สิ่งผิด ๆ ชอบถือเอาสิ่งที่ชั่วว่าเป็นดี เช่น ชอบค้าของเถื่อน ชอบหนีโรงเรียน  ชอบเถียงพ่อแม่ ฯลฯ เห็นคนทำถูกเป็นคนเซ่อเห็นคนกลัวผิดเป็นคนเซอะ  ฯลฯ
    ๔.คนพาลแม้พูดดีๆ ก็โกรธ เช่น เตือนให้ดูหนังสือตอนใกล้สอบ ก็โกรธ เตือนให้ตื่นเช้าก็โกรธ แค่มองหน้าบางครั้งก็ยังโกรธ ฯลฯ
    ๕.คนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย เช่น  ไม่ชอบข้ามถนนตรงทางม้าลาย ทิ้งขยะบนพื้นถนน ไปทำงานสาย ฯลฯ

พฤติการณ์ที่เรียกว่า"คบ"  คืออย่างไร ?
คบ หมายถึง พฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ
ร่วม เช่น ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมก่อการ ร่วมพวก
รับ เช่น รับเป็นเพื่อน รับเป็นภรรยาหรือสามี รับไว้ทำงาน
ให้ เช่น ให้ความไว้วางใจ ให้คำชมเชย  ให้ยศให้ตำแหน่ง ให้หยิบยืมสิ่งของ
การไม่คบคนพาล คือ การไม่ยอมมีพฤติกรรมสัมพันธ์ใด ๆ ดังกล่าวข้างต้นกับคนพาล ถ้าเรายังคบคนพาลอยู่ไม่ว่าจะในระดับไหนก็ตามรีบถอนตัวเสียโดยด่วน  อย่าประมาทรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม มิฉะนั้นจะพลาดติดเชื้อพาลโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นพาลตามไปด้วย
โบราณท่านให้คติเตือนไว้ว่า
"ห่างสนุขให้ห่างศอก
ห่างวอกให้ห่างวา
ห่างพาลาให้ห่างหมื่นโยชน์แสนโยชน์"

โทษของการคบคนพาล
๑.ย่อมถูกชักนำไปในทางที่ผิด
๒.ย่อมเกิดความหายนะการงานล้มเหลว
๓.ย่อมถูกมองในแง่ร้าย ไม่ได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วไป
๔.ย่อมอึดอัดใจ เพราะคนพาลแม้เราพูดดี ๆด้วยก็โกรธ
๕.หมู่คณะย่อมแตกความสามัคคี เพราะการยุยงและไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัย
๖.ภัยอันตรายต่างๆ ย่อมไหลเข้ามาหาตัว
๗.เมื่อละโลกแล้ว ย่อมมีอบายภูมิเป็นที่ไป

ประเภทของคนพาล
คนพาลมี ๒ ประเภท ได้แก่
๑.พาลภายนอก  คือคนพาลทั่วไป ซึ่งแม้จะร้ายกาจเพียงใด เราก็ยังมีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่มีพาลอีกประเภทหนึ่งที่ร้ายยิ่งกว่า เพราะมักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ คือ พาลภายใน
๒.พาลภายใน คือ ตัวเราเองขณะที่คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว  เช่น หนีงานบ้าง เที่ยวเกเร ไม่ยุ่งธุระคนอื่นโดยใช่เหตุบ้าง แกล้งไปทำงานสายบ้าง  คนอื่นเตือนดี ๆ ก็โกรธบ้าง  หลีกเลี่ยงวินัยบ้าง  พูดไม่ไพเราะบ้าง ครั้งใดที่เราทำเช่นนี้ ครั้งนั้นเราเองนั่นแหละ คือตัวพาล มีเชื้อสายพาลอยู่ใน ต้องรีบแก้ไข

หลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
๑.หวั่นห้ามใจตนเองจากความชั่วแม้เพียงเล็กน้อย ก่อนที่มันจะลุกลามต่อไป เช่น การนอนตื่นสาย การละเลยต่อการสวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอน
๒.อย่าตามนึกถึงความชั่ว ความผิดพลาดในอดีต ทั้งของตนเองและผู้อื่น ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป ตั้งใจทำความดีใหม่ให้เต็มที่
๓.ตั้งใจให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ
๔.หลีกเลี่ยงการอ่าน การฟัง การพูด เรื่องเกี่ยวกับคนพาล จะได้ไม่สะสมความคิดเกี่ยวกับพาลไว้ในใจ พยายามสะสมแต่ความคิดที่ดีงามโดยการอ่าน การฟัง การพูด แต่สิ่งที่ดีงาม เช่น อ่านหนังสือธรรมะ ฟังเทศน์ สนทนาธรรม  พูดถึงคนที่ทำคุณความดี ฯลฯ
๕.ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้คนพาลอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เช่นทำงานในที่เดียวกัน เป็นญาติพี่น้องกันในกรณีเช่นนี้เราต้องระลึกอยู่เสมอว่า  เรากำลังอยู่ใกล้สิ่งที่เป็นอันตราย เหมือนอยู่ใกล้คนเป็นโรคติดต่อ ต้องระวังตัว คือ ระวังความเป็นพาลของเขาจะมาติดเราเข้า ต้องหมั่นทำทาน รักษาศีลทำสมาธิ เพื่อให้ในผ่องใสอยู่เสมอ
เราต้องระลึกเสมอว่า หน้าที่อันยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า การปราบพาลภายในตัวเราเอง

อานิสงส์การไม่คบคนพาล
๑.ทำให้ไม่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด
๒.ทำให้สามารถรักษาความดีเดิมไว้ได้
๓.ทำให้สามารถสร้างความดีใหม่เพิ่มขึ้นได้อีก
๔.ทำให้ไม่ถูกคนพาลทำร้าย
๕.ทำให้ไม่ถูกตำหนิ ไม่ถูกใส่ความ
๖.ทำให้ไม่ถูกมองในแง่ร้าย ได้รับความไว้วางใจจากบุคคลทั่วไป
๗.ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า สามารถตั้งตัวได้เร็ว
๘.ทำให้มีความสุขทั้งตนเอง  ครอบครัวและประเทศชาติ
๙.เป็นการตัดกำลังไม่ให้เชื้อพาลระบาดไป  เพราะขาดคนสนับสนุน

"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ให้ผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผลคนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น"

(พุทธพจน์)